ตาแดง โรคอักเสบที่มักแพร่ระบาดบ่อย ๆ ในช่วงฤดูฝน ตาแดงเป็นโรคติดต่อที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในชุมชนที่อยู่อาศัย และโรงเรียน ซึ่งถือเป็นแหล่งระบาดชั้นดีที่ทำให้เกิดโรคนี้ สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่ลูกมีอาการตาแดง ต้องรีบทำการรักษาโดยเร็วที่สุด เพราะหากลูกมีอาการรุนแรง ก็อาจเกิดการติดเชื้อที่อันตรายได้ วันนี้เรามีบทความดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณแม่ได้เข้าใจ และพร้อมรับมือกับโรคตาแดงมากยิ่งขึ้นค่ะ
ตาแดงคืออะไร?
ตาแดง คือ อาการที่เยื่อบุดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง เป็นสีแดงจากหลอดเลือดฝอยที่ขยายตัว โดยมักเกิดจากการอักเสบ และระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา โดยอาการตาแดงมักเกิดขึ้นหลังจากการขยี้ตา การสัมผัสตา ตาแห้ง ฝุ่นเข้าตา การบาดเจ็บบริเวณดวงตา และเนื้อเยื่อดวงติดเชื้อ เป็นต้น อาการตาแดง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยอาการส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง และสามารถหายเองได้ 1-2 วัน แต่หากผู้ป่วยสังเกตว่าอาการตาแดงค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารักษาทันที
ตาแดง เกิดจากอะไร?
ตาแดงเกิดจากหลอดเลือดบริเวณดวงตาอักเสบ จากการระคายเคืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น ควัน แสงแดด อาการแห้ง หรือเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส โรคภูมิแพ้ และการไออีกด้วย นอกจากนี้อาการตาแดง ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ตาแห้ง
- ตากุ้งยิง
- กระจกตาเป็นแผล
- การใช้ยาหยอดตา
- เลือดออกใต้เยื่อบุตา
- มีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา
- การอักเสบบริเวณตาขาว
- การบาดเจ็บบริเวณดวงตา
- มีก้อนสีแดงขึ้นบริเวณเปลือกตา
- หนังตาม้วนออกด้านนอกหรือด้านใน
ตาแดง อาการเป็นอย่างไร?
อาการตาแดง สามารถเกิดขึ้นได้ข้างใดข้างหนึ่ง หรือเกิดขึ้นทั้ง 2 ข้าง ตามแต่ละสาเหตุ โดยผู้ป่วยอาจมีอาการ ดังต่อไปนี้
- คันตา
- ขนตาร่วง
- ไวต่อแสง
- เปลือกตาอักเสบ
- แสบตา น้ำตาไหล
- ปวดหัว ไอ และมีไข้
- การมองเห็นเปลี่ยนไป
- มีวัตถุแปลกปลอมในตา
- ลืมตาหรือหลับตาไม่ได้
- ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
- เป็นไข้อย่างรุนแรงมากกว่า 38 องศา
อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาแดง
หากผู้ป่วยมีอาการตาแดง และไม่ยอมรักษา หากปล่อยไว้นานอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น
- เป็นแผลในดวงตา
- สูญเสียการมองเห็น
- สูญเสียดวงตา
- มีปัญหาในการมองเห็นต่าง ๆ
- ติดเชื้อลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
การรักษาตาแดง
ผู้ป่วยไม่ควรขยี้ตาเมื่อมีอาการตาแดง เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ทางที่ดีควรปล่อยไว้เฉย ๆ จนอาการดีขึ้น และหายเองจนไม่ปรากฏอาการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลด้วย ซึ่งหากผู้ป่วยไม่แน่ใจว่าตัวเองตาแดงจากอะไร ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้าวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาต่อไป เบื้องต้นแล้ว ผู้ป่วยสามารถรักษาตาแดงด้วยวิธี ดังต่อไปนี้
- พักสายตา
- รับประทานยาแก้แพ้
- ประคบร้อนหรือประคบเย็น
- ออกจากบริเวณที่มีอาการแพ้
- ใช้ยาหยอดตาหรือน้ำตาเทียม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาด้วยมือ
- ล้างตาด้วยน้ำเกลือ น้ำเย็น หรือน้ำอุ่น
หากผู้ป่วยใช้วิธีข้างต้นแล้วอาการไม่บรรเทาลง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี เพราะอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยาหยอดตา หรือยาแก้แพ้อื่น ๆ ร่วมด้วย
การป้องกันตาแดง
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการตาแดง ควรรักษาสุขอนามัยของตัวเองเป็นอย่างดี และหลีกเลี่ยงการใช้สารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่าง ๆ โดยสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
- ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสบริเวณดวงตา
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า และการใช้เครื่องสำอาง
- ไม่ใช่ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และหมอนร่วมกับผู้อื่น
- หากมีสิ่งสกปรกเข้าตา ให้ใช้น้ำเปล่าล้างตาให้สะอาด
- งดไปทำโรงเรียน ไปที่ทำงาน และไปที่สาธารณะจนกว่าจะหายดี
- งดการใช้สายตามาก ๆ หรือเพ่งสายตาบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการตาล้าได้
- งดการใส่คอนแทคเลนส์เป็นเวลานาน และควรล้างคอนแทคเลนส์ให้สะอาดทุกครั้ง
แม้ว่าอาการ ตาแดง จะเป็นโรคระบาดที่ติดต่อได้ง่าย ๆ แต่ผู้ป่วยก็สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง ด้วยการรักษาสุขอนามัยของตัวเอง ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตา และงดใช้สายตา ก็จะช่วยให้อาการทุเลาลงได้ค่ะ ทั้งนี้หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่หาย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
โรคอีสุกอีใส เกิดจากอะไร อาการแบบไหนที่แสดงว่าลูกเป็นอีสุกอีใส?
โรคมือ เท้า ปาก โรคระบาดใกล้ตัวเด็ก สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา
รู้ทัน “วัณโรค” โรคติดต่อจากเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา